OKR (Objectives and Key Results) เป็นกรอบการตั้งเป้าหมายที่ช่วยให้ทีมและองค์กรสามารถกำหนดทิศทางและติดตามผลการทำงานได้อย่างชัดเจน ในการพัฒนาทางเทคโนโลยี OKR จะช่วยให้ฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีมีการโฟกัสในสิ่งที่สำคัญ, กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาที่รวดเร็ว และสามารถวัดผลลัพธ์ได้อย่างเป็นระบบ
โครงสร้างของ OKR
OKR ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก:
- Objectives (วัตถุประสงค์): เป็นเป้าหมายใหญ่ที่ต้องการบรรลุ ซึ่งควรจะเป็นสิ่งที่ท้าทายและมีความหมาย โดยทั่วไปแล้วจะเป็นเป้าหมายที่ไม่สามารถบรรลุได้แค่ด้วยการทำงานเพียงแค่ประจำวัน
- Key Results (ผลลัพธ์หลัก): เป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงการบรรลุวัตถุประสงค์นั้น ๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถประเมินได้ว่าเป้าหมายประสบความสำเร็จหรือไม่
ตัวอย่าง OKR สำหรับฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยี
ตัวอย่างที่ 1: การพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่
Objective:
- พัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ที่มีประสิทธิภาพและสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้
Key Results:
- ส่งมอบการออกแบบ UI/UX ของแอปภายใน 4 สัปดาห์
- พัฒนา MVP (Minimum Viable Product) และเปิดให้ทดสอบภายใน 8 สัปดาห์
- ตรวจสอบและแก้ไขบั๊ก 90% ของข้อบกพร่องที่พบจากการทดสอบผู้ใช้
- การใช้งานแอปของผู้ใช้ทดสอบมากกว่า 100 คนภายใน 12 สัปดาห์
ตัวอย่างที่ 2: การปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ
Objective:
- ปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบที่มีอยู่เพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น
Key Results:
- ลดเวลาในการโหลดหน้าเว็บจาก 5 วินาทีเป็น 2 วินาทีภายใน 6 สัปดาห์
- เพิ่มอัตราการเข้าถึงข้อมูลของฐานข้อมูลได้เร็วขึ้น 30% ภายใน 8 สัปดาห์
- ทดสอบประสิทธิภาพระบบโดยการจำลองโหลดผู้ใช้ 100,000 คน และทำให้ระบบยังคงทำงานได้ดี
- ลดอัตราการเกิดข้อผิดพลาดในระบบลง 20% ภายในไตรมาสนี้
ตัวอย่างที่ 3: การพัฒนาเครื่องมือภายในเพื่อสนับสนุนการทำงาน
Objective:
- สร้างเครื่องมือภายในที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของทีม
Key Results:
- พัฒนาเครื่องมืออัตโนมัติในการตรวจสอบโค้ด (CI/CD pipeline) ให้ใช้งานได้ภายใน 6 สัปดาห์
- ลดเวลาการตรวจสอบโค้ดลงจาก 3 ชั่วโมงเหลือ 30 นาที
- เพิ่มการใช้งานเครื่องมือใหม่ให้ได้ 80% ของสมาชิกทีมภายใน 2 เดือน
- ลดจำนวนข้อผิดพลาดในการ deploy โค้ดลง 50%
เคล็ดลับในการตั้ง OKR สำหรับฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยี
1. ตั้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนและท้าทาย
- วัตถุประสงค์ (Objective) ควรมีความท้าทาย แต่ไม่เกินความสามารถของทีม เพื่อกระตุ้นให้ทีมทำงานได้เต็มที่ แต่ไม่ควรตั้งสูงเกินไปจนเป็นไปไม่ได้
- ตัวอย่าง: “พัฒนาแอปใหม่ที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพ” จะชัดเจนและกระตุ้นการทำงานให้ชัดเจนขึ้น
2. ทำให้ Key Results เป็นสิ่งที่สามารถวัดได้
- Key Results ควรจะเป็นผลลัพธ์ที่สามารถวัดได้อย่างชัดเจน โดยสามารถใช้ตัวชี้วัด เช่น เวลา, จำนวน, เปอร์เซ็นต์ หรืออื่น ๆ ที่สามารถบ่งชี้ถึงความสำเร็จได้
- ตัวอย่าง: “ลดเวลาในการโหลดหน้าเว็บจาก 5 วินาทีเป็น 2 วินาที” เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนและสามารถตรวจสอบผลได้
3. ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน OKR
- ในการพัฒนาเทคโนโลยีอาจมีปัญหาหรือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น ปัญหาทางเทคนิค หรือการเปลี่ยนแปลงในข้อกำหนดของโปรเจค ดังนั้นการตั้ง OKR ควรมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนได้
4. เน้นผลลัพธ์ที่สำคัญ
- ควรเน้นผลลัพธ์ที่สำคัญ (Impactful Results) ที่จะช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ หรือการลดเวลาในการดำเนินการ
5. ใช้ OKR เป็นเครื่องมือในการประเมินผลและปรับปรุง
- OKR ไม่ได้เป็นเพียงการตั้งเป้าหมาย แต่ยังเป็นเครื่องมือในการประเมินว่าเราทำงานได้ตามเป้าหมายหรือไม่ และสามารถนำข้อมูลจากผลลัพธ์ที่ได้มาปรับปรุงการทำงานในครั้งถัดไป
6. OKR ควรมีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ขององค์กร
- เป้าหมายทางเทคโนโลยีที่ตั้งขึ้นควรเชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ใหญ่ขององค์กร เช่น หากองค์กรมีเป้าหมายในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ทีมพัฒนาก็ควรตั้ง OKR ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงระบบให้รองรับการใช้งานจากต่างประเทศ
สรุป
OKR เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการช่วยให้ฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีสามารถทำงานได้อย่างมีทิศทางและมุ่งมั่น โดยการตั้งวัตถุประสงค์ที่ท้าทายและมีผลลัพธ์ที่สามารถวัดได้จะช่วยให้ทีมสามารถโฟกัสในสิ่งที่สำคัญ และช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการขององค์กร