OKR (Objectives and Key Results) คือ วิธีการตั้งเป้าหมายและผลลัพธ์สำคัญที่ใช้ในการกำหนดทิศทางและประเมินผลการดำเนินงานของบุคคล ทีม หรือองค์กร OKR เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน (Objective) และการกำหนดตัวชี้วัด (Key Results) เพื่อวัดความสำเร็จในแต่ละช่วงเวลา
- Objective (เป้าหมาย): คำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการทำให้สำเร็จ เป้าหมายนี้จะต้องมีความท้าทายและสามารถกระตุ้นให้เกิดการดำเนินการ
 - Key Results (ผลลัพธ์สำคัญ): ตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดความสำเร็จของเป้าหมาย ซึ่งควรมีความชัดเจนและสามารถวัดได้อย่างเป็นรูปธรรม
 
ตัวอย่างของ OKR
- Objective: เพิ่มประสิทธิภาพการขายในไตรมาสนี้
 - Key Results:
- เพิ่มยอดขายให้ได้ 20%
 - สร้างลูกค้าใหม่ 50 ราย
 - ลดระยะเวลาในการติดต่อกับลูกค้าจาก 24 ชั่วโมงเป็น 12 ชั่วโมง
 
 
ESG (Environmental, Social, and Governance)
ESG ย่อมาจาก Environmental, Social, และ Governance ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินความยั่งยืนและความรับผิดชอบขององค์กรในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปกครองที่ดี สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติขององค์กร
- Environmental (สิ่งแวดล้อม): การจัดการผลกระทบที่องค์กรมีต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, การใช้พลังงานทดแทน, การจัดการขยะ
 - Social (สังคม): ความรับผิดชอบต่อสังคม เช่น การดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน, การสนับสนุนความหลากหลายและการรวมกลุ่ม
 - Governance (การกำกับดูแล): การบริหารจัดการที่มีความโปร่งใสและมีจริยธรรม เช่น การปฏิบัติตามกฎหมาย, การรายงานข้อมูลทางการเงินที่โปร่งใส, การมีการตรวจสอบภายใน
 
ตัวอย่างของ ESG:
- Environmental: บริษัทพยายามลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลและเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์
 - Social: บริษัทมีนโยบายด้านความหลากหลายและความเสมอภาคในการจ้างงาน และให้การสนับสนุนด้านการศึกษาในชุมชน
 - Governance: บริษัทมีการรายงานผลการดำเนินงานทางการเงินที่โปร่งใส และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
 

ส่วนประกอบของ OKR:
- Objective (เป้าหมาย): คำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการจะทำให้สำเร็จ เป้าหมายนี้ต้องท้าทายและสามารถกระตุ้นให้เกิดความกระตือรือร้น
 - Key Results (ผลลัพธ์สำคัญ): ตัวชี้วัดที่ชัดเจนในการวัดความสำเร็จของเป้าหมาย ต้องเป็นผลลัพธ์ที่สามารถวัดได้และมีการตรวจสอบผล
 
ตัวอย่าง OKR ที่ใช้ได้จริง:
Objective: เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าในปี 2025
Key Results:
- เพิ่มคะแนน NPS (Net Promoter Score) จาก 60 เป็น 80
 - ลดเวลาในการตอบกลับลูกค้าจาก 24 ชั่วโมงเป็น 12 ชั่วโมง
 - เพิ่มอัตราการรีวิวจากลูกค้าในระบบออนไลน์จาก 25% เป็น 40%
 
Objective: เพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ได้ 30% ของยอดขายทั้งหมดในไตรมาสที่ 3
Key Results:
- เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 ชนิด
 - เพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ 15%
 - เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ให้ได้ 10 ช่องทาง
 
ข้อดีของ OKR:
- ช่วยให้พนักงานและทีมเข้าใจทิศทางและเป้าหมายขององค์กร
 - ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการโฟกัสไปที่เป้าหมายที่สำคัญ
 - การติดตามผลเป็นประจำทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันเวลา
 
ตัวอย่างการดำเนินงาน ESG:
ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental):
- การลดการปล่อย CO2: บริษัทกำหนดเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตลง 30% ภายใน 5 ปี
 - การใช้พลังงานหมุนเวียน: บริษัทลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับโรงงานผลิต เพื่อใช้พลังงานจากแหล่งที่ยั่งยืน
 
ด้านสังคม (Social):
- การสนับสนุนความหลากหลาย: บริษัทมีนโยบายในการจ้างงานที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางเชื้อชาติและเพศ และมีการฝึกอบรมเพื่อสร้างความตระหนักถึงความเสมอภาค
 - โครงการชุมชน: บริษัทสนับสนุนการศึกษาในชุมชนด้วยการจัดทุนการศึกษาสำหรับเด็กที่ยากจน หรือสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
 
ด้านการกำกับดูแล (Governance):
- ความโปร่งใสในการบริหาร: บริษัทรายงานผลการดำเนินงาน ESG ทุกปีอย่างโปร่งใส และมีการตรวจสอบโดยบุคคลภายนอก
 - การปฏิบัติตามกฎหมาย: บริษัทมีมาตรการที่เข้มงวดในการป้องกันการทุจริตและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
 
ตัวอย่าง ESG ในการดำเนินธุรกิจ:
- บริษัท A มีนโยบายในการใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตสินค้าทุกประเภท และตั้งเป้าให้ทุกผลิตภัณฑ์ลดการใช้พลาสติกลง 50% ภายใน 3 ปี
 - บริษัท B ตั้งคณะกรรมการ ESG เพื่อดูแลและจัดการนโยบายความรับผิดชอบในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยจัดให้มีการประเมินผลด้าน ESG ทุกปี และทำการปรับปรุงตามความต้องการของตลาดและผู้ลงทุน
 
ข้อดีของ ESG:
- ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรในสายตาของผู้บริโภคและนักลงทุน
 - ช่วยลดความเสี่ยงในด้านสิ่งแวดล้อมและกฎหมาย
 - เสริมสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว
 
การเชื่อมโยงระหว่าง OKR กับ ESG
การใช้ OKR และ ESG ร่วมกันสามารถช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายที่ยั่งยืนได้:
- Objective (OKR): “ลดการปล่อย CO2 ของบริษัทให้เหลือ 50% ของปีก่อนภายในปี 2025”
- Key Results:
- ใช้พลังงานทดแทน 30% ในการผลิต
 - ลดการใช้พลาสติกในกระบวนการผลิต 40%
 - จัดตั้งโปรแกรมรีไซเคิลขยะในสำนักงานและโรงงาน
 
 
 - Key Results:
 - ESG (Environmental): การกำหนดเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ช่วยให้บริษัทมีทิศทางที่ชัดเจนในการลดผลกระทบจากการดำเนินงาน
 
ตัวอย่างการใช้ OKR ใน ESG
Objective: เพิ่มความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมในปี 2025 Key Results:
- ลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลลง 20%
 - เพิ่มการรีไซเคิลวัสดุในกระบวนการผลิตให้ได้ 80%
 - จัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับการประหยัดพลังงานให้แก่พนักงานทุกคน
 
ความแตกต่าง OKR กับ ESG
OKR (Objectives and Key Results) และ ESG (Environmental, Social, and Governance) เป็นเครื่องมือและแนวคิดที่ใช้ในการกำหนดและประเมินผลการดำเนินงานขององค์กร แต่มีความแตกต่างในหลายด้าน โดยเน้นการทำงานในมุมมองที่แตกต่างกัน ดังนี้:
1. เป้าหมาย (Focus and Purpose)
- OKR (Objectives and Key Results): เน้นที่การตั้งเป้าหมายเพื่อผลักดันการเติบโตและผลการดำเนินงานขององค์กรหรือบุคคลในระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยมีการกำหนด เป้าหมาย (Objective) และ ผลลัพธ์สำคัญ (Key Results) ที่วัดได้อย่างชัดเจน การตั้ง OKR จะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและความสำเร็จในการทำงาน
- ตัวอย่าง: เพิ่มยอดขายให้ได้ 20% ภายในไตรมาสนี้ หรือสร้างลูกค้าใหม่ 50 ราย
 
 - ESG (Environmental, Social, and Governance): มุ่งเน้นการพัฒนาองค์กรที่มีความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล ESG จะดูที่ผลกระทบระยะยาวและความรับผิดชอบขององค์กรในด้านต่าง ๆ เช่น การปกป้องสิ่งแวดล้อม, การดูแลพนักงานและชุมชน, และการกำกับดูแลที่มีจริยธรรม
- ตัวอย่าง: ลดการปล่อยก๊าซ CO2 หรือเพิ่มความหลากหลายในการจ้างงาน
 
 
2. วิธีการวัดผล (Measurement and Evaluation)
- OKR: การวัดผลของ OKR จะเป็นการกำหนด ผลลัพธ์ที่วัดได้ (Key Results) ที่สามารถตรวจสอบได้ เช่น การเพิ่มยอดขาย, การลดเวลาในการทำงาน หรือการพัฒนาทักษะใหม่ ซึ่งมีการประเมินผลในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น ไตรมาสหรือปี
- ตัวอย่าง: ผลลัพธ์ที่สำเร็จคือการเพิ่มยอดขายจาก 10% เป็น 20%
 
 - ESG: การวัดผลของ ESG มักเป็นการวัดผลในด้านคุณภาพและผลกระทบที่องค์กรมีต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการรายงานผลในระยะยาว โดยเฉพาะในด้านที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรงจากตัวเลข เช่น การรักษาความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม หรือความโปร่งใสในการดำเนินงาน
- ตัวอย่าง: การวัดผล ESG อาจรวมถึงการลดการใช้พลาสติก, การเพิ่มความหลากหลายของพนักงาน, หรือการมีการจัดการความเสี่ยงทางการเงินที่โปร่งใส
 
 
3. ระยะเวลา (Timeframe)
- OKR: ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นที่ระยะสั้นถึงระยะกลาง (โดยทั่วไปจะตั้ง OKR ประจำไตรมาสหรือปี) ซึ่งมีการติดตามและปรับปรุงผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง
- ตัวอย่าง: ตั้งเป้าหมายให้สำเร็จภายใน 3 เดือนหรือ 1 ปี
 
 - ESG: เป็นการตั้งเป้าหมายในระยะยาวเพื่อความยั่งยืนขององค์กร และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งอาจใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงหลายปี
- ตัวอย่าง: การลดการปล่อย CO2 50% ภายใน 5 ปี
 
 
4. ลักษณะของเป้าหมาย (Nature of Goals)
- OKR: เป้าหมายส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการ ปรับปรุงประสิทธิภาพ หรือ การบรรลุผลสำเร็จ ในการทำงาน เช่น การเพิ่มยอดขาย การขยายตลาด หรือการพัฒนาทักษะ
- ตัวอย่าง: เพิ่มอัตราการรักษาลูกค้า (customer retention rate) จาก 70% เป็น 85%
 
 - ESG: เป้าหมายใน ESG มักเกี่ยวข้องกับการ ส่งเสริมความรับผิดชอบทางสังคม และ ความยั่งยืน โดยไม่มุ่งเน้นที่ผลกำไรทางการเงินโดยตรง แต่เน้นไปที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโลกและสังคม
- ตัวอย่าง: ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินกิจการ
 
 
5. ประเภทของการดำเนินการ (Action and Focus)
- OKR: มักมุ่งเน้นที่การดำเนินการที่เฉพาะเจาะจง เช่น การเพิ่มการขาย การลดต้นทุน หรือการเพิ่มผลผลิตในระยะเวลาอันสั้น
- ตัวอย่าง: การจัดแคมเปญการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่
 
 - ESG: มุ่งเน้นที่การสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับองค์กรและในวงกว้างในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล
- ตัวอย่าง: การลดการใช้พลังงานฟอสซิลหรือการตั้งโปรแกรมช่วยเหลือชุมชน
 
 
ทั้ง OKR และ ESG เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในแต่ละด้านของการบริหารจัดการองค์กร โดย OKR ช่วยให้ทีมมุ่งเน้นการบรรลุผลการทำงานในระยะสั้น ขณะที่ ESG ช่วยให้องค์กรมุ่งมั่นไปที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

บทความที่เกี่ยวข้องกับ OKR เพิ่มเติม
