การใช้ OKR (Objectives and Key Results) เป็นเครื่องมือในการตั้งเป้าหมายและวัดผลการดำเนินงานในธุรกิจนั้น ๆ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมโดยเฉพาะใน สตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็ก เนื่องจากช่วยให้ทีมสามารถมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายที่สำคัญและตรวจสอบความก้าวหน้าของงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในตลาดมีแอปพลิเคชัน OKR หลายตัวที่ออกแบบมาเพื่อช่วยธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพตั้งแต่การจัดการเป้าหมายไปจนถึงการติดตามผลการดำเนินงาน เราจะมาแนะนำ แอป OKR ที่ดีที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงฟีเจอร์ที่สำคัญ และตัวอย่างการใช้งาน

เหตุผลที่ควรใช้แอป OKR

  • เพิ่มความโปร่งใส ทุกคนในทีมจะเห็นเป้าหมายร่วมกัน และสามารถติดตามความคืบหน้าได้อย่างชัดเจน
  • ปรับปรุงการทำงานร่วมกัน สมาชิกในทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล ข้อมูลจากแอป OKR จะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วขึ้น
  • เพิ่มประสิทธิภาพ การติดตามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถปรับปรุงกระบวนการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกแอป OKR

  • ความง่ายในการใช้งาน แอปควรใช้งานง่ายและเข้าใจได้ง่าย
  • ฟังก์ชันการทำงาน ควรมีฟังก์ชันการทำงานที่ครอบคลุม เช่น การตั้งเป้าหมาย การติดตามความคืบหน้า การรายงานผล การทำงานร่วมกัน
  • ราคา ควรมีราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณของธุรกิจ
  • การสนับสนุน ควรมีการสนับสนุนจากผู้พัฒนาแอป

แอป OKR ที่น่าสนใจสำหรับ สตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็ก

1. Weekdone

Weekdone เป็นเครื่องมือ OKR ที่เน้นความง่ายในการใช้งานและสามารถติดตาม OKR ของทั้งทีมและบุคคลได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับสตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการเครื่องมือที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน

ฟีเจอร์หลัก

  • ตั้งเป้าหมาย (OKRs): สร้างและจัดการ OKR สำหรับทีมและบุคคล
  • สรุปประจำสัปดาห์: ช่วยให้สมาชิกในทีมรายงานความก้าวหน้าของเป้าหมายทุกสัปดาห์
  • Dashboard ที่เข้าใจง่าย: แสดงข้อมูลในรูปแบบกราฟและการสรุปผลเพื่อให้ง่ายต่อการติดตาม
  • การรายงาน: มีรายงานที่สามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ เพื่อให้เห็นภาพรวมของ OKR

ตัวอย่างการใช้งาน

  • Objective (เป้าหมาย): ขยายฐานลูกค้าใหม่
    • Key Results (ผลลัพธ์ที่สำคัญ):
      • เพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ 20%
      • ลดเวลาการตอบกลับลูกค้าในแต่ละเคสให้ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง
      • เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ 30%

ข้อดี เหมาะกับสตาร์ทอัพที่ต้องการการรายงานผลแบบสั้นๆ ง่ายๆ และสามารถเข้าใจได้ทันที

2. Gtmhub

Gtmhub เป็นเครื่องมือ OKR ที่มีฟีเจอร์การติดตามที่ซับซ้อนขึ้นมานิดหนึ่ง แต่สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องมือที่ใช้ในธุรกิจอื่น ๆ เช่น Salesforce, Jira หรือ Google Sheets ทำให้ธุรกิจสามารถติดตาม OKR จากหลายแหล่งข้อมูลได้อย่างสะดวก

ฟีเจอร์หลัก

  • เชื่อมต่อกับเครื่องมือที่มีอยู่แล้ว: รองรับการเชื่อมต่อกับหลายๆ แพลตฟอร์ม เช่น Slack, Jira, Trello, และ Google Sheets
  • กราฟและแดชบอร์ด: แสดงผลการดำเนินงานของ OKR แบบ real-time ด้วยกราฟที่เข้าใจง่าย
  • การวิเคราะห์ข้อมูล: การติดตามความก้าวหน้าและการคาดการณ์เพื่อปรับแผนการดำเนินงาน
  • การตั้งค่าและการติดตาม OKR แบบละเอียด: สามารถตั้ง OKR ระดับองค์กร ระดับทีม และระดับบุคคลได้

ตัวอย่างการใช้งาน

  • Objective: เพิ่มยอดขายในไตรมาสนี้
    • Key Results:
      • สร้างรายได้จากลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น 15%
      • จัดการประชุมกับลูกค้า 50 ราย
      • สร้างคอนเทนต์การตลาดใหม่ 10 ชิ้น

ข้อดี ดีมากสำหรับธุรกิจที่ต้องการเครื่องมือที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการและเชื่อมต่อกับแอปอื่นๆ ที่ใช้ในธุรกิจ

3. 15Five

15Five เป็นเครื่องมือที่เน้นการให้ข้อเสนอแนะและการติดตามผล OKR อย่างต่อเนื่อง โดยมีฟีเจอร์เสริมเพื่อการสนับสนุนการพัฒนาของพนักงานในรูปแบบต่าง ๆ

ฟีเจอร์หลัก

  • OKRs และการตั้งเป้าหมาย: สามารถตั้ง OKR สำหรับทีมและบุคคลและติดตามความคืบหน้า
  • การรายงานความก้าวหน้า: ส่งรายงานประจำสัปดาห์ให้กับผู้จัดการและทีม
  • การประเมินผล: ทำการประเมินผลการทำงานของพนักงานที่สอดคล้องกับ OKR
  • การให้ข้อเสนอแนะ: สามารถให้ข้อเสนอแนะได้โดยตรงระหว่างผู้จัดการและทีมงาน
  • สนับสนุนการพัฒนาองค์กร: การให้คำแนะนำและเครื่องมือสำหรับการพัฒนาทักษะและการเติบโตของพนักงาน

ตัวอย่างการใช้งาน

  • Objective: ปรับปรุงประสิทธิภาพทีม
    • Key Results:
      • ลดเวลาในการประชุมทีม 30%
      • ฝึกอบรมพนักงาน 5 รายเพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสาร
      • เพิ่มการมีส่วนร่วมของทีมในการประชุมขึ้น 50%

ข้อดี เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการให้การพัฒนาองค์กรและการประเมินผลเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ OKR และเน้นการสนับสนุนทีม

4. Perdoo

Perdoo เป็นเครื่องมือ OKR ที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพสามารถตั้งเป้าหมายและติดตามความคืบหน้าได้ง่าย ๆ โดยมีกระบวนการที่ชัดเจนและเครื่องมือในการประเมินผลที่ดี

ฟีเจอร์หลัก

  • การสร้าง OKR แบบง่าย: การสร้าง OKR ที่เหมาะสมกับขนาดของทีมและองค์กร
  • Dashboard ที่เข้าใจง่าย: แสดงความก้าวหน้าของ OKR ในรูปแบบกราฟและสถิติ
  • การเชื่อมต่อกับระบบอื่น: รองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องมือภายในธุรกิจเช่น Slack, Google Sheets
  • การสนับสนุนการตั้งเป้าหมาย: ช่วยให้ธุรกิจสามารถตั้งเป้าหมายอย่างมีโครงสร้างและมีขั้นตอนที่ชัดเจน

ตัวอย่างการใช้งาน

  • Objective: พัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์
    • Key Results:
      • เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ 3 ฟีเจอร์ในผลิตภัณฑ์
      • ลดจำนวนข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ 25%
      • ได้รับ feedback จากลูกค้า 100 คน

ข้อดี เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเครื่องมือที่เข้าใจง่ายและไม่ซับซ้อน

สิ่งที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม

  • ลองใช้ฟังก์ชันทดลองใช้ฟรี ก่อนตัดสินใจเลือกใช้แอป ควรลองใช้ฟังก์ชันทดลองใช้ฟรีเพื่อดูว่าแอปนั้นเหมาะกับความต้องการของธุรกิจหรือไม่
  • ขอคำแนะนำจากผู้ใช้งานอื่น หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอปจากผู้ใช้งานรายอื่นๆ เพื่อดูว่าพวกเขาพอใจกับแอปนั้นหรือไม่
  • พิจารณางบประมาณ เลือกแอปที่มีราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณของธุรกิจของคุณ

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • กำหนดเป้าหมาย OKR ที่ชัดเจน ก่อนที่จะเริ่มใช้แอป ควรกำหนดเป้าหมาย OKR ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของธุรกิจ
  • สื่อสารเป้าหมายให้ทุกคนในทีมทราบ ทำให้ทุกคนในทีมเข้าใจเป้าหมายร่วมกัน
  • ติดตามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ ควรมีการอัปเดตความคืบหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
  • ปรับปรุงเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ เป้าหมาย OKR ควรมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

สรุป

การเลือกแอป OKR ที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หากยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกแอปใดดี ลองพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น และลองใช้ฟังก์ชันทดลองใช้ฟรีของแอปต่างๆ เพื่อดูว่าแอปใดเหมาะกับธุรกิจมากที่สุด

แนะนำแอป OKR ที่ดีที่สุดสำหรับ สตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็ก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *