แอป OKR ที่ดีที่สุดในปี 2024 สำหรับการตั้งเป้าหมายและติดตามผล OKR (Objectives and Key Results) เป็นกรอบการตั้งเป้าหมายที่ได้รับความนิยมในองค์กรหลายแห่งทั่วโลก เนื่องจากช่วยให้ทีมงานสามารถตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว การใช้แอป OKR ทำให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้น ช่วยให้การตั้งเป้าหมายเป็นไปอย่างมีระบบ และสามารถติดตามผลการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง
แอป OKR ที่ดีที่สุดในปี 2024 สำหรับการตั้งเป้าหมายและติดตามผล ในปี 2024 มีแอป OKR หลายตัวที่ได้รับการพัฒนาและออกแบบมาเพื่อการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน การติดตามผล และการประเมินผลการทำงานที่เป็นระบบ เราจะมาดู แอป OKR ที่ดีที่สุดในปี 2024 พร้อมทั้งฟีเจอร์เด่นที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตั้งและติดตามเป้าหมาย
1. Weekdone
Weekdone เป็นแอป OKR ที่ได้รับความนิยมในหมู่บริษัททั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและเล็กที่ต้องการระบบการติดตามเป้าหมายที่ใช้งานง่าย
ฟีเจอร์เด่น
- การตั้งเป้าหมายแบบ OKR: สามารถตั้งเป้าหมายในระดับบุคคล ทีม และองค์กรได้อย่างง่ายดาย โดยสามารถระบุ Objectives และ Key Results สำหรับแต่ละกลุ่ม
- การติดตามผลการดำเนินงาน: การอัปเดตสถานะการทำงาน (Weekly updates) ช่วยให้ทีมและผู้บริหารสามารถติดตามความคืบหน้าได้ตลอดเวลา
- การรายงานผล: การสร้างรายงานที่แสดงผลสำเร็จในการดำเนินการของแต่ละบุคคลหรือทีม โดยสรุปเป็นตัวเลขและกราฟที่เข้าใจง่าย
- การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น: เช่น Slack, Microsoft Teams, และ Google Calendar ทำให้การสื่อสารและการจัดการเป้าหมายสะดวกขึ้น
- อินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่าย: Weekdone มีอินเตอร์เฟซที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการความรวดเร็วในการตั้งและติดตามเป้าหมาย
เหมาะสำหรับ: ทีมงานและองค์กรขนาดกลางที่ต้องการเครื่องมือที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาในการติดตาม OKRs
2. Gtmhub
Gtmhub เป็นแอป OKR ที่มีฟีเจอร์ครบครัน เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการเครื่องมือที่มีความยืดหยุ่นและรองรับการทำงานในหลายระดับ
ฟีเจอร์เด่น
- การตั้ง OKRs ที่สามารถปรับแต่งได้: สามารถตั้งเป้าหมายและ Key Results ได้อย่างละเอียดตามลักษณะของทีมและโครงการที่ทำ
- การเชื่อมโยงกับข้อมูลจากแหล่งอื่น: Gtmhub รองรับการเชื่อมโยงข้อมูลจากแหล่งภายนอก เช่น CRM, Google Analytics หรือ ERP ช่วยให้สามารถติดตามและประเมินผลการทำงานได้จากข้อมูลที่แท้จริง
- การวิเคราะห์ผลการทำงาน: ด้วยเครื่องมือ Analytics ที่รองรับการแสดงข้อมูลแบบ Real-time ผู้บริหารสามารถเห็นผลการทำงานในทันที
- การอัปเดตตามเวลาจริง: สมาชิกในทีมสามารถอัปเดตสถานะของ OKRs ได้ทุกเมื่อ ช่วยให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น: เช่น Slack, Microsoft Teams, Jira, Trello ช่วยให้การจัดการเป้าหมายไม่ยุ่งยากและเชื่อมโยงกับกระบวนการทำงานที่มีอยู่แล้วในทีม
เหมาะสำหรับ: องค์กรขนาดใหญ่และบริษัทที่มีหลายทีมและโปรเจกต์ที่ต้องการเครื่องมือที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่งและวิเคราะห์ผลได้อย่างลึกซึ้ง
3. 15Five
15Five เน้นการเสริมสร้างการสื่อสารและความโปร่งใสในการตั้งและติดตามเป้าหมาย ด้วยฟีเจอร์ที่ช่วยให้ทีมและผู้บริหารสามารถเข้าใจความคืบหน้าและความต้องการของทีมได้ดียิ่งขึ้น
ฟีเจอร์เด่น
- ระบบการตั้ง OKRs: สามารถตั้ง OKRs ในทุกระดับขององค์กร ตั้งแต่บุคคลจนถึงทีมและองค์กร
- การตอบรับจากทีมงาน: ทีมสามารถกรอกผลการทำงานในรูปแบบรายสัปดาห์หรือรายเดือนเพื่อให้ผู้บริหารเห็นภาพรวม
- ฟีเจอร์การให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะ: ช่วยให้ผู้จัดการสามารถให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การตรวจสอบและติดตามผล: มีเครื่องมือที่สามารถติดตามผลได้ตลอดเวลาผ่านกราฟและรายงานผลที่สามารถดึงข้อมูลได้จากระบบ
- การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น: รองรับการเชื่อมต่อกับหลายแอปพลิเคชัน เช่น Slack, Google Drive, Microsoft Teams และอื่นๆ เพื่อให้งานลื่นไหลและสะดวกขึ้น
เหมาะสำหรับ: องค์กรที่เน้นการพัฒนาผู้คนและการสื่อสารที่โปร่งใส ทีมที่ต้องการระบบฟีดแบ็กอย่างต่อเนื่องและกระตุ้นการพัฒนาส่วนบุคคล
4. Perdoo
Perdoo เป็นอีกหนึ่งแอป OKR ที่ออกแบบมาเพื่อให้งานขององค์กรมีการจัดการที่ดีขึ้น ด้วยการมุ่งเน้นที่การเชื่อมโยงเป้าหมายของแต่ละบุคคลกับเป้าหมายขององค์กร
ฟีเจอร์เด่น
- OKR Dashboard: แสดงภาพรวมของเป้าหมายและผลลัพธ์ต่างๆ ขององค์กรและทีมในรูปแบบที่เข้าใจง่าย
- การตั้งเป้าหมายในหลายระดับ: สามารถตั้ง OKRs สำหรับทั้งระดับองค์กร, ทีม, และบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การติดตามและวัดผลการดำเนินงาน: สามารถดูความคืบหน้าของ OKRs ทุกระดับและวิเคราะห์ผลได้ทันที
- เครื่องมือการติดตามการทำงาน (Milestones): ช่วยให้ทีมสามารถทำงานตามขั้นตอนและติดตามงานได้อย่างเป็นระเบียบ
- การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น: เช่น Slack, Google Workspace, Jira และ Asana ซึ่งทำให้การใช้งานง่ายและไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือหลายตัว
เหมาะสำหรับ: ทีมงานที่ต้องการการติดตามผล OKR ในหลายระดับ และเน้นการเชื่อมโยงเป้าหมายของแต่ละบุคคลกับเป้าหมายขององค์กร
5. Ally.io
Ally.io เป็นแอป OKR ที่มุ่งเน้นในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับองค์กร โดยช่วยให้การตั้งเป้าหมายและการติดตามผลการทำงานเป็นไปอย่างมีระเบียบและโปร่งใส
ฟีเจอร์เด่น
- การตั้ง OKR ที่มีความยืดหยุ่นสูง: สามารถตั้ง OKRs ที่เหมาะสมกับลักษณะงานและระดับของทีมได้
- การติดตามและประเมินผลอย่างละเอียด: รองรับการติดตามความคืบหน้าของ OKRs อย่างละเอียด มีกราฟและตัวชี้วัดที่สามารถเห็นภาพรวมได้ชัดเจน
- การวิเคราะห์ผลการทำงาน: มีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ผลการทำงานและประเมินว่า OKRs ใดที่ได้รับผลตอบแทนดีที่สุด
- การบูรณาการกับเครื่องมืออื่น: สามารถเชื่อมโยงกับ Slack, Google Workspace, Microsoft Teams, Jira และอื่นๆ ช่วยให้การทำงานร่วมกันในทีมสะดวกยิ่งขึ้น
เหมาะสำหรับ: องค์กรที่ต้องการการติดตามผล OKRs อย่างละเอียดและการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
การตั้งเป้าหมายและติดตามผล OKR (Objectives and Key Results)
การตั้งเป้าหมายและติดตามผลด้วย OKR (Objectives and Key Results) เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ทั้งบุคคลและองค์กรสามารถมุ่งเน้นและขับเคลื่อนการทำงานไปในทิศทางที่ชัดเจน โดยมีการตั้งเป้าหมายที่ท้าทายและสามารถวัดผลได้อย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ OKR จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการติดตามผลในระยะสั้นและการทบทวนผลเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จะบรรลุผลสำเร็จ
1. การตั้งเป้าหมาย (Objectives)
Objective คือสิ่งที่คุณต้องการจะทำให้สำเร็จ ซึ่งจะเป็น เป้าหมายใหญ่ ที่ช่วยให้คุณหรือองค์กรมุ่งไปข้างหน้า จุดสำคัญในการตั้ง Objective คือควรจะต้องมีความท้าทายแต่ยังคงสามารถทำได้จริง และต้องเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์หรือกลยุทธ์ขององค์กร
ลักษณะของ Objective ที่ดี
- เฉพาะเจาะจง (Specific): Objective ควรมีความชัดเจนและไม่คลุมเครือ
- ท้าทาย (Challenging): ควรเป็นเป้าหมายที่ท้าทายและต้องการความพยายามในการทำให้สำเร็จ
- แรงบันดาลใจ (Inspiring): ควรกระตุ้นให้ผู้ที่มีส่วนร่วมรู้สึกมีแรงบันดาลใจ
- มีกรอบเวลา (Time-bound): ควรกำหนดเวลาที่ชัดเจนในการบรรลุเป้าหมาย
ตัวอย่าง Objective:
- “เพิ่มยอดขายให้เติบโต 25% ภายในไตรมาสหน้า”
- “พัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาดภายใน 6 เดือน”
2. การตั้งผลลัพธ์สำคัญ (Key Results)
Key Results คือผลลัพธ์ที่สามารถวัดได้ซึ่งจะใช้ในการติดตามความคืบหน้าของ Objective ที่ตั้งไว้ เพื่อประเมินว่าคุณได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว และใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้มากแค่ไหน
ลักษณะของ Key Results ที่ดี
- สามารถวัดได้ (Measurable): ควรเป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้ตัวเลขหรือเกณฑ์อื่นๆ ในการวัดผลได้
- ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง: Key Results ควรระบุสิ่งที่ต้องทำหรือบรรลุผลอย่างชัดเจน
- สามารถบรรลุได้ (Achievable): Key Results ควรเป็นเป้าหมายที่ท้าทายแต่ยังคงทำได้จริง
ตัวอย่าง Key Results:
- “เพิ่มยอดขายจากช่องทางออนไลน์ขึ้น 15%”
- “ลดระยะเวลาการตอบสนองลูกค้าภายใน 24 ชั่วโมงลง 30%”
3. การติดตามผลการทำงาน (Tracking Progress)
การติดตามความคืบหน้าของ OKRs เป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุดในการทำให้การตั้งเป้าหมายมีประสิทธิภาพ หากไม่ทำการติดตามอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้พลาดโอกาสในการปรับปรุงหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ขั้นตอนในการติดตามผล:
- การอัปเดตเป็นระยะ: ควรมีการอัปเดตผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ เช่น การรายงานความคืบหน้าทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน เพื่อให้สามารถเห็นภาพรวมได้เร็ว
- การประชุม OKR: จัดประชุมอย่างสม่ำเสมอ (เช่น รายเดือนหรือรายไตรมาส) เพื่อทบทวนผลการดำเนินงานและปรับแผนหากจำเป็น
- การประเมินความสำเร็จ: ตรวจสอบว่า Key Results ที่ตั้งไว้สามารถบรรลุได้หรือไม่ โดยการประเมินตามตัวชี้วัดที่ได้ตั้งไว้
การใช้เครื่องมือ OKR สามารถช่วยในการติดตามผลได้ เช่น แอป OKR เช่น Gtmhub, Weekdone, Ally.io ซึ่งจะช่วยให้การติดตามผลเป็นไปอย่างมีระบบและสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย
4. การประเมินผลและการปรับปรุง (Review and Adjustments)
การทบทวนผล OKR หลังจากที่สิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินงานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้ทีมและองค์กรสามารถ:
- ประเมินว่าได้บรรลุเป้าหมายหรือไม่: วิเคราะห์ว่า Objective และ Key Results ที่ตั้งไว้นั้นได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังหรือไม่
- การเรียนรู้จากประสบการณ์: หากไม่สามารถบรรลุผลตามที่ตั้งไว้ ควรหาสาเหตุและทำการปรับปรุงในรอบถัดไป
- การตั้งเป้าหมายใหม่: หลังจากการทบทวน ควรตั้ง Objective และ Key Results ใหม่ที่มีความท้าทายยิ่งขึ้น โดยพิจารณาจากผลการประเมินครั้งก่อน
5. การนำผลการประเมินมาใช้ในการพัฒนา (Utilizing Results for Development)
การใช้ผลการประเมิน OKRs เพื่อพัฒนาองค์กรและพนักงานเป็นส่วนสำคัญในการทำให้กระบวนการนี้มีผลในระยะยาว
- การพัฒนาบุคลากร: ผลการประเมิน OKR ช่วยให้ทราบถึงทักษะและจุดแข็ง/จุดอ่อนของพนักงาน เพื่อพัฒนาผู้บริหารหรือทีมในอนาคต
- การพัฒนากลยุทธ์องค์กร: หากผล OKRs ขององค์กรไม่บรรลุผล อาจต้องปรับกลยุทธ์องค์กรหรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
สรุปผลการตั้งเป้าหมายและติดตามผล OKR
การตั้ง OKR และการติดตามผลเป็นกระบวนการที่มีขั้นตอนที่ชัดเจนและต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดทั้งในระดับบุคคลและทีม เพื่อให้เป้าหมายที่ตั้งไว้สามารถบรรลุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการนี้มีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้:
การพัฒนาและการปรับปรุง: นำผลการประเมินมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการในการตั้งเป้าหมายในอนาคต
การตั้งเป้าหมาย (Objectives): ต้องชัดเจน ท้าทาย และสามารถทำได้ในกรอบเวลา
การตั้งผลลัพธ์สำคัญ (Key Results): เป็นตัวชี้วัดที่สามารถวัดผลได้
การติดตามผล: การอัปเดตผลการทำงานและการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้า
การประเมินผล: ทบทวนผลการดำเนินงานเพื่อประเมินความสำเร็จ