การใช้ OKR เพื่อเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตั้งเป้าหมาย และติดตามผลสำเร็จในองค์กร โดยสามารถนำมาช่วยให้กระบวนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มีความชัดเจน มุ่งเป้าหมาย และสามารถประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้ OKR จะมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

1. การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน (Objectives)

เป้าหมายที่ดีจะต้องมีความชัดเจน ท้าทาย และสามารถกระตุ้นการทำงานเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ โดยในระดับกลยุทธ์ การกำหนดเป้าหมายจะต้องเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ และทิศทางขององค์กร เป้าหมายควรเป็นสิ่งที่สามารถส่งผลกระทบได้ในระยะยาว เช่น การขยายตลาด หรือการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

ตัวอย่างเป้าหมาย

  • เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร

2. การกำหนดตัวชี้วัดผลสำเร็จ (Key Results)

Key Results คือลักษณะการวัดผลที่เป็นตัวเลขหรือผลลัพธ์ที่สามารถติดตามได้ และสามารถบ่งบอกความสำเร็จของเป้าหมาย ตัวชี้วัดนี้จะต้องสอดคล้องกับเป้าหมาย และสามารถวัดผลการดำเนินงานได้จริง เช่น การเพิ่มยอดขาย หรือการลดต้นทุนการผลิต

ตัวอย่าง Key Results

  • เพิ่มยอดขายสินค้าในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 20% ภายใน 6 เดือน
  • ลดเวลาในการผลิตผลิตภัณฑ์ลง 15%

3. การเชื่อมโยงกับกลยุทธ์องค์กร

OKR ช่วยให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับวิสัยทัศน์ขององค์กร โดยการตั้ง OKR ทุกระดับ (จากองค์กร สู่ทีม สู่บุคคล) จะเชื่อมโยงกัน เพื่อให้แน่ใจว่าแต่ละทีม และแต่ละบุคคลมีความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน

การมี OKR ช่วยให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มีการกระจายอำนาจการตัดสินใจไปยังทีมต่างๆ ซึ่งส่งผลให้การดำเนินการมีความรวดเร็ว และตรงจุดมากขึ้น เนื่องจากการติดตามผลการดำเนินงานจะช่วยให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันทีเมื่อเห็นแนวโน้มที่ไม่เป็นไปตามแผน

4. การตรวจสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

การติดตามผลสำเร็จอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผู้บริหารสามารถประเมินผลความคืบหน้า และตรวจสอบว่ากลยุทธ์ที่เลือกใช้มีประสิทธิภาพหรือไม่ หากพบว่ามีอุปสรรคหรือต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินการ สามารถปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องรอจนถึงสิ้นปีหรือสิ้นไตรมาส

การใช้ OKR ช่วยให้การตัดสินใจกลยุทธ์มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับตามสถานการณ์ได้

5. การเพิ่มการมีส่วนร่วมจากทุกคนในองค์กร

เนื่องจาก OKR เป็นเครื่องมือที่โปร่งใสและชัดเจน ทำให้พนักงานในทุกระดับสามารถเห็นภาพรวมของเป้าหมายและ Key Results ขององค์กรได้ การมีส่วนร่วมในการตั้งเป้าหมายและการวัดผลทำให้พนักงานมีแรงจูงใจและความเข้าใจในกลยุทธ์ขององค์กรมากขึ้น การตัดสินใจกลยุทธ์ที่ดีมักมาจากการรับฟังความคิดเห็นจากหลายๆ ฝ่ายในองค์กร

6. การตัดสินใจที่มีข้อมูลสนับสนุน

การตั้ง OKR อย่างมีระบบจะช่วยสร้างข้อมูลที่สามารถใช้ในการตัดสินใจกลยุทธ์ได้ดีขึ้น เพราะทุกๆ การวัดผลจะต้องมีข้อมูลที่เป็นตัวเลขหรือผลลัพธ์ที่สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจและตัดสินใจในขั้นตอนต่อไป

ประโยชน์ของการใช้ OKR

  1. ความชัดเจนและมุ่งเป้าหมาย
    OKR ช่วยให้องค์กรสามารถตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งทำให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจเป้าหมายขององค์กรและสามารถประสานงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การวัดผลที่มีประสิทธิภาพ
    ด้วย Key Results ที่เป็นตัวเลขหรือผลลัพธ์ที่สามารถวัดได้ ทำให้องค์กรสามารถติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง การประเมินผลได้ทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่าเป้าหมายถูกบรรลุหรือไม่
  3. การปรับกลยุทธ์ได้เร็ว
    เนื่องจากการติดตามผลสำเร็จอย่างสม่ำเสมอ ผู้บริหารสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันทีที่เห็นว่าแผนที่ดำเนินการไม่ได้ผล หรือเกิดปัญหาใดๆ ซึ่งทำให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
  4. การสร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม
    OKR เป็นเครื่องมือที่ทำให้ทุกคนในองค์กรเห็นภาพรวมของเป้าหมายและผลสำเร็จในระดับต่างๆ การตั้ง OKR และการติดตามผลช่วยสร้างความโปร่งใสและความเข้าใจร่วมกัน ส่งผลให้พนักงานมีส่วนร่วมในการทำงานและมุ่งมั่นในเป้าหมาย
  5. การกระตุ้นการทำงานและนวัตกรรม
    เป้าหมายที่ท้าทายและการติดตามผลที่ชัดเจนจะกระตุ้นให้พนักงานพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในการทำงาน

ข้อควรระวังในการใช้ OKR

  1. การตั้งเป้าหมายที่ไม่สมเหตุสมผล
    หากเป้าหมายที่ตั้งขึ้นมีความท้าทายเกินไปหรือไม่สมจริง อาจทำให้พนักงานรู้สึกท้อแท้ และอาจทำให้ความพยายามในการทำงานลดลง ดังนั้นการตั้งเป้าหมายต้องมีความท้าทายแต่ไม่เกินความสามารถ
  2. การขาดการสนับสนุนจากผู้นำ
    การใช้ OKR ต้องการการสนับสนุนและความมุ่งมั่นจากผู้นำระดับสูง หากผู้บริหารไม่สนับสนุนหรือไม่เข้าใจในกระบวนการ OKR ก็อาจทำให้การตั้งและติดตาม OKR ไม่ประสบความสำเร็จ
  3. การตั้งเป้าหมายมากเกินไป
    การตั้ง OKR มากเกินไปอาจทำให้เกิดความยุ่งยากในการจัดการและทำให้พนักงานรู้สึกว่าไม่สามารถโฟกัสกับเป้าหมายสำคัญได้ การตั้ง OKR ควรมีจำนวนไม่เกิน 3-5 เป้าหมายต่อหนึ่งช่วงเวลา
  4. การติดตามผลที่ไม่สม่ำเสมอ
    การไม่ติดตามผลหรือประเมินผล OKR อย่างต่อเนื่องอาจทำให้การดำเนินงานขาดการปรับปรุงและอาจทำให้พลาดโอกาสในการปรับกลยุทธ์ทันเวลา
  5. การใช้ OKR เป็นเครื่องมือวัดผลเพียงอย่างเดียว
    OKR ควรถูกมองเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางและการติดตามผล แต่ไม่ควรใช้เป็นเครื่องมือวัดผลการทำงานเพียงอย่างเดียว ควรมีการผสมผสานกับเครื่องมือและกระบวนการวัดผลอื่นๆ เพื่อให้การประเมินผลมีความหลากหลายและครอบคลุม
  6. การไม่ปรับเปลี่ยนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน
    OKR ต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในตลาดหรือในองค์กร หากไม่ปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง อาจทำให้กลยุทธ์ที่เลือกใช้ไม่สามารถตอบสนองต่อความท้าทายในปัจจุบันได้
  7. การขาดการสื่อสารภายในองค์กร
    OKR ต้องมีการสื่อสารที่ดีระหว่างทีมและบุคคลต่างๆ ในองค์กร หากขาดการสื่อสารที่ดี อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือการดำเนินการที่ไม่ตรงตามเป้าหมาย

สรุป

การใช้ OKR เพื่อเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน มุ่งมั่นในทิศทางเดียวกัน โดยเชื่อมโยงเป้าหมายจากทุกระดับให้สอดคล้องกัน การตั้ง OKR อย่างมีกลยุทธ์สามารถช่วยให้กระบวนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มีความมีประสิทธิภาพ โดยการติดตามผลสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ตามสถานการณ์ ทำให้มีความยืดหยุ่นและเพิ่มความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้ดีขึ้น

myOKR

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *